วีรบุรุษ
เฮราคลีส
เฮราคลีส (อังกฤษ: Heracles หรือ Herakles) เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในตำนานเทพเจ้ากรีก ชื่อมีความหมายว่า "ความรุ่งโรจน์ของเฮรา" เขาเป็นบุตรของเทพซูสกับนางแอลก์มินี เกิดที่เมืองธีบส์ เป็นหลานของแอมฟิไทรออน และเป็นเหลนของเพอร์ซูส เฮราคลีสนับเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในปกรณัมกรีก ชื่อในตำนานเทพโรมันว่า เฮอร์คิวลีส ซึ่งดัดแปลงเอาเรื่องราวของเขาในปกรณัมกรีกไปใช้
นับแต่เฮราคลีสเกิดมาก็ตกอยู่ในความริษยาพยาบาทของเทพีเฮรา ซึ่งหึงหวงเทพซูสผู้สามี แม้เฮราคลีสเป็นบุตรเทพซูส แต่กลับมีกำเนิดเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เมื่อโตขึ้น เฮราคลีสได้แต่งงานกับนางเมการะ มีบุตรสามคน เทพีเฮราบันดาลให้เขาวิกลจริตและสังหารบุตรภรรยาตายสิ้น เมื่อเขาคืนสติก็จะฆ่าตัวตายตาม แต่ธีซูสเพื่อนสนิทห้ามปรามไว้ แนะให้ไปขอคำพยากรณ์จากวิหารเดลฟี คำพยากรณ์บอกให้เฮราคลีสไปหาท้าวยูริสเทียสและรับทำภารกิจทุกประการตามแต่จะได้รับ เพื่อเป็นการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ ท้าวยูริสเทียสสรรหาภารกิจอันเหลือที่มนุษย์จะกระทำได้ เรียกกันว่า "The Twelves Labours of Heracles" หรือ ภารกิจ 12 ประการของเฮราคลีส ได้แก่
ปราบสิงโตแห่งนีเมีย
สังหารไฮดรา
จับกวางในป่าซีไรเนีย
จับหมูป่าแห่งเขาอีไรแมนทัส
ชำระคอกสัตว์ของท้าวออเจียส
สังหารนกกินคน สทิมเฟเลียน
จับกระทิงแห่งเกาะครีต
จับม้าของไดโอมีดีส
ชิงเข็มขัดของนางฮิปโพลีที
ชิงฝูงโคของยักษ์จีริออน
เก็บผลแอปเปิลทองคำของนางเฮสเพอริดีส
เอาหมาสามหัวเซอร์บิรัสมาจากยมโลก
หลังภารกิจ เฮราคลีสยังได้ร่วมไปกับขบวนนาวิกของเจสัน เพื่อไปค้นหาขนแกะทองคำ และประกอบวีรกรรมอื่นๆ อีกมาก แต่เหมือนบาปกรรมของเฮราคลีสยังไม่สิ้นสุด เขาเกิดวิกลจริตสังหารเพื่อนอีกจนต้องไปเป็นทาสนางออมฟลี ต้องสวมชุดสตรีและทำการงานของผู้หญิง เมื่อพ้นโทษ เขาจึงได้นางเดียไนระเป็นภรรยา
นางเดียไนระนี้เป็นเหตุแห่งความตายของเฮราคลีส เพราะนางหลงเชื่อคำลวงของเซนทอร์ชื่อ เนสสัส จึงนำเสื้อคลุมเปื้อนเลือดเซนทอร์ซึ่งเป็นยาพิษไปให้เฮราคลีสสวม ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นยาเสน่ห์จะให้เฮราคลีสรักแต่ตนเพียงผู้เดียว เมื่อเฮราคลีสจะตาย เทพซูสจึงบันดาลให้ร่างเขาไหม้เป็นจุณแล้วรับขึ้นสวรรค์ ประทานเทพธิดาฮีบีให้เป็นคู่ครอง
เฮราคลีส (อังกฤษ: Heracles หรือ Herakles) เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในตำนานเทพเจ้ากรีก ชื่อมีความหมายว่า "ความรุ่งโรจน์ของเฮรา" เขาเป็นบุตรของเทพซูสกับนางแอลก์มินี เกิดที่เมืองธีบส์ เป็นหลานของแอมฟิไทรออน และเป็นเหลนของเพอร์ซูส เฮราคลีสนับเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในปกรณัมกรีก ชื่อในตำนานเทพโรมันว่า เฮอร์คิวลีส ซึ่งดัดแปลงเอาเรื่องราวของเขาในปกรณัมกรีกไปใช้
นับแต่เฮราคลีสเกิดมาก็ตกอยู่ในความริษยาพยาบาทของเทพีเฮรา ซึ่งหึงหวงเทพซูสผู้สามี แม้เฮราคลีสเป็นบุตรเทพซูส แต่กลับมีกำเนิดเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เมื่อโตขึ้น เฮราคลีสได้แต่งงานกับนางเมการะ มีบุตรสามคน เทพีเฮราบันดาลให้เขาวิกลจริตและสังหารบุตรภรรยาตายสิ้น เมื่อเขาคืนสติก็จะฆ่าตัวตายตาม แต่ธีซูสเพื่อนสนิทห้ามปรามไว้ แนะให้ไปขอคำพยากรณ์จากวิหารเดลฟี คำพยากรณ์บอกให้เฮราคลีสไปหาท้าวยูริสเทียสและรับทำภารกิจทุกประการตามแต่จะได้รับ เพื่อเป็นการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ ท้าวยูริสเทียสสรรหาภารกิจอันเหลือที่มนุษย์จะกระทำได้ เรียกกันว่า "The Twelves Labours of Heracles" หรือ ภารกิจ 12 ประการของเฮราคลีส ได้แก่
ปราบสิงโตแห่งนีเมีย
สังหารไฮดรา
จับกวางในป่าซีไรเนีย
จับหมูป่าแห่งเขาอีไรแมนทัส
ชำระคอกสัตว์ของท้าวออเจียส
สังหารนกกินคน สทิมเฟเลียน
จับกระทิงแห่งเกาะครีต
จับม้าของไดโอมีดีส
ชิงเข็มขัดของนางฮิปโพลีที
ชิงฝูงโคของยักษ์จีริออน
เก็บผลแอปเปิลทองคำของนางเฮสเพอริดีส
เอาหมาสามหัวเซอร์บิรัสมาจากยมโลก
หลังภารกิจ เฮราคลีสยังได้ร่วมไปกับขบวนนาวิกของเจสัน เพื่อไปค้นหาขนแกะทองคำ และประกอบวีรกรรมอื่นๆ อีกมาก แต่เหมือนบาปกรรมของเฮราคลีสยังไม่สิ้นสุด เขาเกิดวิกลจริตสังหารเพื่อนอีกจนต้องไปเป็นทาสนางออมฟลี ต้องสวมชุดสตรีและทำการงานของผู้หญิง เมื่อพ้นโทษ เขาจึงได้นางเดียไนระเป็นภรรยา
นางเดียไนระนี้เป็นเหตุแห่งความตายของเฮราคลีส เพราะนางหลงเชื่อคำลวงของเซนทอร์ชื่อ เนสสัส จึงนำเสื้อคลุมเปื้อนเลือดเซนทอร์ซึ่งเป็นยาพิษไปให้เฮราคลีสสวม ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นยาเสน่ห์จะให้เฮราคลีสรักแต่ตนเพียงผู้เดียว เมื่อเฮราคลีสจะตาย เทพซูสจึงบันดาลให้ร่างเขาไหม้เป็นจุณแล้วรับขึ้นสวรรค์ ประทานเทพธิดาฮีบีให้เป็นคู่ครอง
อคิลลีส
อคิลลีส (อังกฤษ: Achilles, Akhilleus, Achilleus; ภาษากรีกโบราณ: Ἀχιλλεύς) เป็นวีรบุรุษในตำนานกรีกโบราณว่าด้วยเรื่องสงครามเมืองทรอย เป็นตัวละครหลักและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ เป็นแก่นของแนวเรื่องหลักในมหากาพย์นั้น คือ "โทสะของอคิลลีส"
อคิลลีสเป็นบุตรของท้าวพีลูส กษัตริย์ชาวเมอร์มิดอน กับนางอัปสรธีทิส เกิดที่เมืองฟาร์สะลา แคว้นเทสสะลี แต่เดิมนางอัปสรธีทิสเป็นที่หมายปองของเทพซูสและโพไซดอน แต่ภายหลังโปรมีธูสแจ้งคำพยากรณ์ต่อเทพทั้งสองว่า บุตรของธีทิสจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าบิดา เทพทั้งสองจึงยกนางให้แก่พีลูส เมื่ออคิลลีสเกิด ธีทิสได้จุ่มร่างของบุตรลงในแม่น้ำสติกส์เพื่อให้เป็นคงกระพัน ร่างกายของอคิลลีสจึงแข็งแกร่ง ไม่มีอาวุธใดทำอันตรายได้ อย่างไรก็ดีขณะนางจุ่มร่างบุตร ธีทิสใช้มือกุมข้อเท้าบุตรไว้ ดังนั้นทั่วร่างอคิลลีสจึงมีเพียงข้อเท้าที่ไม่ได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดอ่อน ซึ่งในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า "Achilles' heel" หมายถึง จุดอ่อน
อคิลลีสได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งนักรบ เป็นผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์มาก เมื่ออักกะเมมนอนรวบรวมทัพเพื่อยกไปตีเมืองทรอย จึงได้เชิญตัวอคิลลีสไปด้วย คำพยากรณ์มีว่า กรีกไม่มีวันเอาชนะทรอยได้หากปราศจากอคิลลีส กระนั้นก็มีคำพยากรณ์สำหรับอคิลลีสว่า เขาจะสิ้นชีวิตหากสังหารแม่ทัพทรอย คือ เฮกเตอร์
อคิลลีสไปถึงเมืองทรอยด้วยอายุเพียง 10 ขวบ และตั้งกองทัพอยู่ชายฝั่งเมืองทรอยนานถึง 15 ปี ระยะแรกอคิลลีสยังไม่มีความมุ่งมาดที่จะเอาชนะ จนกระทั่งเปรโตคัส เพื่อนรักอย่างยิ่งของอคิลลิส ถูกเฮกเตอร์สังหาร อคิลลิสจึงมีโทสะอย่างมากในการรบ จึงได้ขอดวลเดี่ยวกับเฮกเตอร์เพื่อล้างแค้นและสามารถสังหารเฮกเตอร์ได้ และลากศพของเฮกเตอร์ไปรอบ ๆ เมืองทรอยด้วยรถม้าเป็นการประจาน อคิลลีสเป็นผู้ที่บุกตะลุยเข้าไปในเมืองหลังจากเข้าเมืองได้ด้วยอุบายม้าไม้ของโอดิซูส และอคิลลีสก็ถูกสังหารจริง ๆ ตามคำทำนายด้วยลูกธนูที่ข้อเท้าจากการยิงของปารีส
เมื่ออคิลลีสเสียชีวิตไปแล้ว ได้ทิ้งชื่อไว้เป็นตำนานให้เลื่องลือ กล่าวกันว่า โล่ห์ของอคิลลีส (Shield of Achilles) ซึ่งเป็นโลห์ที่อคิลลีสใช้สู้กับเฮคเตอร์เป็นสิ่งที่ใครต่อใครต้องการแสวงหา และอเล็กซานเดอร์มหาราชก็นับถืออคิลลีสเป็นอย่างมาก โดยถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลีส และพระองค์ยังออกตามหาหลุมศพของอคิลลีสรวมทั้งปรารถนาจะครอบครองโล่ห์ของอคิลลีสด้วย ซึ่งเชื่อว่าได้ถูกฝังอยู่ในหลุมศพของอคิลลีส
อคิลลีส (อังกฤษ: Achilles, Akhilleus, Achilleus; ภาษากรีกโบราณ: Ἀχιλλεύς) เป็นวีรบุรุษในตำนานกรีกโบราณว่าด้วยเรื่องสงครามเมืองทรอย เป็นตัวละครหลักและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ เป็นแก่นของแนวเรื่องหลักในมหากาพย์นั้น คือ "โทสะของอคิลลีส"
อคิลลีสเป็นบุตรของท้าวพีลูส กษัตริย์ชาวเมอร์มิดอน กับนางอัปสรธีทิส เกิดที่เมืองฟาร์สะลา แคว้นเทสสะลี แต่เดิมนางอัปสรธีทิสเป็นที่หมายปองของเทพซูสและโพไซดอน แต่ภายหลังโปรมีธูสแจ้งคำพยากรณ์ต่อเทพทั้งสองว่า บุตรของธีทิสจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าบิดา เทพทั้งสองจึงยกนางให้แก่พีลูส เมื่ออคิลลีสเกิด ธีทิสได้จุ่มร่างของบุตรลงในแม่น้ำสติกส์เพื่อให้เป็นคงกระพัน ร่างกายของอคิลลีสจึงแข็งแกร่ง ไม่มีอาวุธใดทำอันตรายได้ อย่างไรก็ดีขณะนางจุ่มร่างบุตร ธีทิสใช้มือกุมข้อเท้าบุตรไว้ ดังนั้นทั่วร่างอคิลลีสจึงมีเพียงข้อเท้าที่ไม่ได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดอ่อน ซึ่งในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า "Achilles' heel" หมายถึง จุดอ่อน
อคิลลีสได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งนักรบ เป็นผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์มาก เมื่ออักกะเมมนอนรวบรวมทัพเพื่อยกไปตีเมืองทรอย จึงได้เชิญตัวอคิลลีสไปด้วย คำพยากรณ์มีว่า กรีกไม่มีวันเอาชนะทรอยได้หากปราศจากอคิลลีส กระนั้นก็มีคำพยากรณ์สำหรับอคิลลีสว่า เขาจะสิ้นชีวิตหากสังหารแม่ทัพทรอย คือ เฮกเตอร์
อคิลลีสไปถึงเมืองทรอยด้วยอายุเพียง 10 ขวบ และตั้งกองทัพอยู่ชายฝั่งเมืองทรอยนานถึง 15 ปี ระยะแรกอคิลลีสยังไม่มีความมุ่งมาดที่จะเอาชนะ จนกระทั่งเปรโตคัส เพื่อนรักอย่างยิ่งของอคิลลิส ถูกเฮกเตอร์สังหาร อคิลลิสจึงมีโทสะอย่างมากในการรบ จึงได้ขอดวลเดี่ยวกับเฮกเตอร์เพื่อล้างแค้นและสามารถสังหารเฮกเตอร์ได้ และลากศพของเฮกเตอร์ไปรอบ ๆ เมืองทรอยด้วยรถม้าเป็นการประจาน อคิลลีสเป็นผู้ที่บุกตะลุยเข้าไปในเมืองหลังจากเข้าเมืองได้ด้วยอุบายม้าไม้ของโอดิซูส และอคิลลีสก็ถูกสังหารจริง ๆ ตามคำทำนายด้วยลูกธนูที่ข้อเท้าจากการยิงของปารีส
เมื่ออคิลลีสเสียชีวิตไปแล้ว ได้ทิ้งชื่อไว้เป็นตำนานให้เลื่องลือ กล่าวกันว่า โล่ห์ของอคิลลีส (Shield of Achilles) ซึ่งเป็นโลห์ที่อคิลลีสใช้สู้กับเฮคเตอร์เป็นสิ่งที่ใครต่อใครต้องการแสวงหา และอเล็กซานเดอร์มหาราชก็นับถืออคิลลีสเป็นอย่างมาก โดยถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลีส และพระองค์ยังออกตามหาหลุมศพของอคิลลีสรวมทั้งปรารถนาจะครอบครองโล่ห์ของอคิลลีสด้วย ซึ่งเชื่อว่าได้ถูกฝังอยู่ในหลุมศพของอคิลลีส
โอดิสเซียส
โอดิสเซียส (กรีก: Ὀδυσσεὺς) หรือ ยูลิสซิส (ละติน: Ulysses) เป็นตัวเอกในบทประพันธ์โอดิสซีย์ของโฮเมอร์ และยังมีบทบาทสำคัญในอีเลียดของผู้เขียนคนเดียวกันอีกด้วย โอดิสเซียสเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจากการเดินทางกลับเมืองของเขาที่กินเวลาถึงสิบปีหลังเสร็จสิ้นสงครามเมืองทรอยโอดิสเซียสเป็นกษัตริย์ของเมืองอิธาคา โดยมีภรรยาคือเพอเนเลอพีและมีบุตรคือเทอเลเมอเคส
โอดิสเซียส (กรีก: Ὀδυσσεὺς) หรือ ยูลิสซิส (ละติน: Ulysses) เป็นตัวเอกในบทประพันธ์โอดิสซีย์ของโฮเมอร์ และยังมีบทบาทสำคัญในอีเลียดของผู้เขียนคนเดียวกันอีกด้วย โอดิสเซียสเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจากการเดินทางกลับเมืองของเขาที่กินเวลาถึงสิบปีหลังเสร็จสิ้นสงครามเมืองทรอยโอดิสเซียสเป็นกษัตริย์ของเมืองอิธาคา โดยมีภรรยาคือเพอเนเลอพีและมีบุตรคือเทอเลเมอเคส
โอดิสซีย์
โอดีสซีย์ (อังกฤษ: Odyssey; กรีก: Ὀδύσσεια, Odusseia) เป็นบทประพันธ์มหากาพย์กรีกโบราณหนึ่งในสองเรื่องของโฮเมอร์ คาดว่าประพันธ์ขึ้นในราว 800 ปีก่อนคริสตกาล ที่แคว้นไอโอเนีย ดินแดนชายทะเลฝั่งตะวันตกของตุรกีซึ่งอยู่ในอาณัติของกรีก[1] บทกวีเล่าเรื่องราวต่อจากอีเลียด ว่าด้วยการเดินทางกลับบ้านที่อิธาคาของวีรบุรุษกรีกชื่อ โอดิซูส (หรือยูลิซีส ตามตำนานโรมัน) หลังจากการล่มสลายของทรอย
โอดิซูสใช้เวลาเดินทางกลับบ้านนานถึง 10 ปี หลังจากที่ใช้เวลาไปในศึกเมืองทรอยแล้วถึง 10 ปี ระหว่างเวลาเหล่านั้น เทเลมาคัส บุตรของเขา และ พีเนโลปผู้ภรรยา ต้องต่อสู้กับกลุ่มคนพาลที่พยายามจะขอวิวาห์กับพีเนโลป เพราะต่างคิดว่าโอดิซูสเสียชีวิตแล้ว
บทกวีชุดนี้เป็นรากฐานสำคัญต่องานวรรณกรรมตะวันตกยุคใหม่ เรียกได้ว่าเป็นอันดับสองรองจากอีเลียด มีการศึกษาและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ มากมายทั่วโลก เชื่อว่าบทกวีเริ่มแรกประพันธ์ขึ้นในลักษณะวรรณกรรมมุขปาฐะ เพื่อการขับร้องลำนำของเหล่านักดนตรีมากกว่าเพื่อการอ่าน[1]
ใช้ฉันทลักษณ์แบบ dactylic hexameter ประกอบด้วยบทกวีรวม 12,110 บรรทัด
โอดีสซีย์ (อังกฤษ: Odyssey; กรีก: Ὀδύσσεια, Odusseia) เป็นบทประพันธ์มหากาพย์กรีกโบราณหนึ่งในสองเรื่องของโฮเมอร์ คาดว่าประพันธ์ขึ้นในราว 800 ปีก่อนคริสตกาล ที่แคว้นไอโอเนีย ดินแดนชายทะเลฝั่งตะวันตกของตุรกีซึ่งอยู่ในอาณัติของกรีก[1] บทกวีเล่าเรื่องราวต่อจากอีเลียด ว่าด้วยการเดินทางกลับบ้านที่อิธาคาของวีรบุรุษกรีกชื่อ โอดิซูส (หรือยูลิซีส ตามตำนานโรมัน) หลังจากการล่มสลายของทรอย
โอดิซูสใช้เวลาเดินทางกลับบ้านนานถึง 10 ปี หลังจากที่ใช้เวลาไปในศึกเมืองทรอยแล้วถึง 10 ปี ระหว่างเวลาเหล่านั้น เทเลมาคัส บุตรของเขา และ พีเนโลปผู้ภรรยา ต้องต่อสู้กับกลุ่มคนพาลที่พยายามจะขอวิวาห์กับพีเนโลป เพราะต่างคิดว่าโอดิซูสเสียชีวิตแล้ว
บทกวีชุดนี้เป็นรากฐานสำคัญต่องานวรรณกรรมตะวันตกยุคใหม่ เรียกได้ว่าเป็นอันดับสองรองจากอีเลียด มีการศึกษาและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ มากมายทั่วโลก เชื่อว่าบทกวีเริ่มแรกประพันธ์ขึ้นในลักษณะวรรณกรรมมุขปาฐะ เพื่อการขับร้องลำนำของเหล่านักดนตรีมากกว่าเพื่อการอ่าน[1]
ใช้ฉันทลักษณ์แบบ dactylic hexameter ประกอบด้วยบทกวีรวม 12,110 บรรทัด
เพอร์ซิอัส
เพอร์ซิอัส (อังกฤษ: Perseus; กรีก: Περσεύς) เป็นบุคคลในตำนานเทพปกรณัมกรีก เป็นบุตรของเทพซูสกับมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นไมซีนีและราชวงศ์เปอร์เซีย เขาเป็นวีรบุรุษคนแรกในปกรณัมกรีกที่มีชื่อเสียงจากการปราบสัตว์ประหลาดโบราณมากมาย ในยุครุ่งเรืองเทพโอลิมปัสทั้ง 12 องค์ เพอร์ซิอัสเป็นผู้สังหารเมดูซาและเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหญิงแอนดรอมิดาจากปีศาจทะเลนามว่า ซีตัส
เพอร์ซิอัส (อังกฤษ: Perseus; กรีก: Περσεύς) เป็นบุคคลในตำนานเทพปกรณัมกรีก เป็นบุตรของเทพซูสกับมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นไมซีนีและราชวงศ์เปอร์เซีย เขาเป็นวีรบุรุษคนแรกในปกรณัมกรีกที่มีชื่อเสียงจากการปราบสัตว์ประหลาดโบราณมากมาย ในยุครุ่งเรืองเทพโอลิมปัสทั้ง 12 องค์ เพอร์ซิอัสเป็นผู้สังหารเมดูซาและเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหญิงแอนดรอมิดาจากปีศาจทะเลนามว่า ซีตัส
เมดูซา
ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซา (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซาจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซานั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก เมดูซา เป็นลูกสาวของเทพแห่งท้องทะเล ฟอซิส และนางซีโต นางถือเป็นหลานของเทพีไกอาและเทพพอนทัส มีพี่น้องคือ สเธโน ยูริอาลี และกราเอีย
เรื่องเริ่มขึ้นจากเพอร์ซิอุสวีรบุรุษอีกผู้หนึ่งของชาวกรีก เพอร์ซิอุสได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ใจร้ายที่พยายามหาทางกำจัดเขาเพื่อจะได้แต่งงานกับมารดาของเขา โดยให้ไปสังหารเมดูซาซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องตระกูลกอร์กอน เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเมดูซาเคยเป็นสาวงาม แต่เพราะโดนโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเลขืนใจ ในวิหารของเทพีอธีนา เทพีอธีนาจึงกล่าวหาว่าเมดูซาลบหลู่นาง ดังนั้นนางจึงโดนสาปให้กลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีผมเป็นงู และมีดวงตาเป็นอำนาจลึกลับหากผู้ใดจ้องมองจะกลายเป็นหินทันที เชื่อกันว่า บรรดารูปปั้นหินชายและหญิงจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดตามแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นส่วนหนึ่งของผู้โชคร้ายที่มาพบเห็นเมดูซานั่นเอง
ในบรรดาสามพี่น้องตระกูลกอร์กอนนี้ มีเพียงเมดูซาเท่านั้นที่ไม่เป็นอมตะ คือถูกฆ่าตายได้ แต่นับเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีใครทำได้โดยไม่กลายเป็นหินเสียก่อน ทั้งสามอาศัยอยู่ในถ้ำลึกบนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ถ้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยหินจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นมนุษย์และสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ
เมื่อเพอร์ซิอุสได้รับคำสั่งให้ไปกำจัดเมดูซา เขาจำเป็นต้องหาที่อยู่ของนางเสียก่อน เพอร์ซิอุสจึงไปถามจากหญิงชราสามคนที่มีตาเพียงดวงเดียว ดวงตานี้มีอำนาจมองเห็นไกลทั่วโลก ในขณะที่หญิงชราทั้งสามถกเถียงกันเพื่อจะแย่งดวงตานี้มาใช้เพอร์ซิอุสแอบขโมยดวงตาไป ทำให้ทั้งสามมองไม่เห็นหญิงชราทั้งสามจึงจำต้องบอกที่อยู่อของเมดูซาให้แก่เพอร์ซิอุสเพื่อแลกกับการดำรงชิวิตของพวกตน
จากนั้นเพอร์ซิอุสจึงเดินไปยังที่อยู่ของเมดูซา ซึ่งเขามีเทพเฮอร์เมสและเทพอธีนาคอยให้ความช่วยเหลือ โดยมอบดาบวิเศษพร้อมโล่เอจีส หมวกล่องหน รองเท้าติดปีก และย่ามวิเศษ ให้เขานำติดตัวไปด้วย คืนหนึ่งในขณะที่เมดูซากำลังหลับสนิท เพอร์ซิอุสแอบเข้าไปในถ้ำ เขาใช้โล่ที่ขัดเป็นเงาราวกระจกส่องดูเงาสะท้อนของเมดูซา เพื่อหลีกเลี่ยงการมองของนางโดยตรง จากนั้นเขารีบใช้ดาบวิเศษตัดศีรษะของนาง แล้วโยนใส่ลงในย่ามวิเศษ
ทันทีที่หยดเลือดหลั่งรินออกมาจากบาดแผลของเมดูซา เพกาซัส ม้ามีปีกสีขาวก็ถือกำเนิดขึ้นมา สองพี่น้องของเมดูซาซึ่งเป็นอมตะ พยายามจะทำร้ายเพอร์ซิอุส แต่เขาใช้หมวกล่องหนและรองเท้าติดปีกช่วยให้ตนเองหลบหลีกออกไปได้ เมื่อเพอร์ซิอุสกลับไปถึงเมืองของกษัตริย์ใจร้ายที่เป็นผู้มอบหมายให้ไปกำจัดเมดูซา เขามอบศีรษะของเมดูซาให้แก่กษัตริย์พระองค์นั้น ซึ่งทำให้พระองค์กลายเป็นหินไปในทันทีที่ทอดพระเนตร
ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่าเส้นผมที่เป็นงูของเมดูซานี้สามารถป้องกีนการปองร้ายของเหล่าปิศาจได้เป็นอย่างดี ในภายหลังเพอร์ซิอุสได้นำศีรษะของเมดูซาถวายแด่เทพีอธีนาผู้ช่วยเหลือเขามาตั้งแต่แรก เทพีอธีนานำเพกาซัสไปยังยอดเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นสถานที่พำนักของเหล่าเทพโอลิมเปียน และมอบให้อยู่ในการดูแลของเทพธิดามิวส์ทั้งเก้าองค์ซึ่งเป็นเหล่าเทพธิดาผู้ดลใจให้ความคิดสร้างสรรค์แก่นักศิลปะทั้งมวล เพกาซัสเป็นม้าที่องอาจปราดเปรียว ไม่ยอมให้ผู้ใดขี่หรือแตะต้อง มีแต่เทพธิดามิวส์เท่านั้นที่เข้าใกล้ได้
ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซา (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซาจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซานั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก เมดูซา เป็นลูกสาวของเทพแห่งท้องทะเล ฟอซิส และนางซีโต นางถือเป็นหลานของเทพีไกอาและเทพพอนทัส มีพี่น้องคือ สเธโน ยูริอาลี และกราเอีย
เรื่องเริ่มขึ้นจากเพอร์ซิอุสวีรบุรุษอีกผู้หนึ่งของชาวกรีก เพอร์ซิอุสได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ใจร้ายที่พยายามหาทางกำจัดเขาเพื่อจะได้แต่งงานกับมารดาของเขา โดยให้ไปสังหารเมดูซาซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องตระกูลกอร์กอน เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเมดูซาเคยเป็นสาวงาม แต่เพราะโดนโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเลขืนใจ ในวิหารของเทพีอธีนา เทพีอธีนาจึงกล่าวหาว่าเมดูซาลบหลู่นาง ดังนั้นนางจึงโดนสาปให้กลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีผมเป็นงู และมีดวงตาเป็นอำนาจลึกลับหากผู้ใดจ้องมองจะกลายเป็นหินทันที เชื่อกันว่า บรรดารูปปั้นหินชายและหญิงจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดตามแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นส่วนหนึ่งของผู้โชคร้ายที่มาพบเห็นเมดูซานั่นเอง
ในบรรดาสามพี่น้องตระกูลกอร์กอนนี้ มีเพียงเมดูซาเท่านั้นที่ไม่เป็นอมตะ คือถูกฆ่าตายได้ แต่นับเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีใครทำได้โดยไม่กลายเป็นหินเสียก่อน ทั้งสามอาศัยอยู่ในถ้ำลึกบนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ถ้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยหินจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นมนุษย์และสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ
เมื่อเพอร์ซิอุสได้รับคำสั่งให้ไปกำจัดเมดูซา เขาจำเป็นต้องหาที่อยู่ของนางเสียก่อน เพอร์ซิอุสจึงไปถามจากหญิงชราสามคนที่มีตาเพียงดวงเดียว ดวงตานี้มีอำนาจมองเห็นไกลทั่วโลก ในขณะที่หญิงชราทั้งสามถกเถียงกันเพื่อจะแย่งดวงตานี้มาใช้เพอร์ซิอุสแอบขโมยดวงตาไป ทำให้ทั้งสามมองไม่เห็นหญิงชราทั้งสามจึงจำต้องบอกที่อยู่อของเมดูซาให้แก่เพอร์ซิอุสเพื่อแลกกับการดำรงชิวิตของพวกตน
จากนั้นเพอร์ซิอุสจึงเดินไปยังที่อยู่ของเมดูซา ซึ่งเขามีเทพเฮอร์เมสและเทพอธีนาคอยให้ความช่วยเหลือ โดยมอบดาบวิเศษพร้อมโล่เอจีส หมวกล่องหน รองเท้าติดปีก และย่ามวิเศษ ให้เขานำติดตัวไปด้วย คืนหนึ่งในขณะที่เมดูซากำลังหลับสนิท เพอร์ซิอุสแอบเข้าไปในถ้ำ เขาใช้โล่ที่ขัดเป็นเงาราวกระจกส่องดูเงาสะท้อนของเมดูซา เพื่อหลีกเลี่ยงการมองของนางโดยตรง จากนั้นเขารีบใช้ดาบวิเศษตัดศีรษะของนาง แล้วโยนใส่ลงในย่ามวิเศษ
ทันทีที่หยดเลือดหลั่งรินออกมาจากบาดแผลของเมดูซา เพกาซัส ม้ามีปีกสีขาวก็ถือกำเนิดขึ้นมา สองพี่น้องของเมดูซาซึ่งเป็นอมตะ พยายามจะทำร้ายเพอร์ซิอุส แต่เขาใช้หมวกล่องหนและรองเท้าติดปีกช่วยให้ตนเองหลบหลีกออกไปได้ เมื่อเพอร์ซิอุสกลับไปถึงเมืองของกษัตริย์ใจร้ายที่เป็นผู้มอบหมายให้ไปกำจัดเมดูซา เขามอบศีรษะของเมดูซาให้แก่กษัตริย์พระองค์นั้น ซึ่งทำให้พระองค์กลายเป็นหินไปในทันทีที่ทอดพระเนตร
ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่าเส้นผมที่เป็นงูของเมดูซานี้สามารถป้องกีนการปองร้ายของเหล่าปิศาจได้เป็นอย่างดี ในภายหลังเพอร์ซิอุสได้นำศีรษะของเมดูซาถวายแด่เทพีอธีนาผู้ช่วยเหลือเขามาตั้งแต่แรก เทพีอธีนานำเพกาซัสไปยังยอดเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นสถานที่พำนักของเหล่าเทพโอลิมเปียน และมอบให้อยู่ในการดูแลของเทพธิดามิวส์ทั้งเก้าองค์ซึ่งเป็นเหล่าเทพธิดาผู้ดลใจให้ความคิดสร้างสรรค์แก่นักศิลปะทั้งมวล เพกาซัสเป็นม้าที่องอาจปราดเปรียว ไม่ยอมให้ผู้ใดขี่หรือแตะต้อง มีแต่เทพธิดามิวส์เท่านั้นที่เข้าใกล้ได้
อีดิปัส
อีดิปัส (อังกฤษ: Oedipus, สำเนียงบริเตน: /ˈiːdɨpəs/ (อีดิปัส), สำเนียงอเมริกัน: /ˈɛdɨpəs/ (เอดิปัส); กรีก: Οἰδίπους แปลว่า "เท้าบวม") เป็นกษัตริย์เมืองทีบส์ในเทพปกรณัมกรีก เมื่อแรกเกิดได้รับคำทำนายจากเทพพยากรณ์ว่า เมื่อโตขึ้นจะเป็นผู้ฆ่าบิดาและสมรสกับมารดาตัวเอง และนำหายนะมาสู่ครอบครัวและเมืองทีบส์
ตำนานของอีดิปัสได้รับการเล่าขานต่อมา และได้รับการบันทึกเป็นครั้งแรกราวศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล โดยโฮเมอร์ ตำนานที่มีชื่อเสียงคือเรื่อง "Oedipus the King" (กรีก: Οἰδίπους Τύραννος, ละติน: Oedipus Rex, ไทย: อีดิปุส จอมราชันย์) และ "Oedipus at Colonus" (กรีก: Οἰδίπους ἐπὶ Κολωνῷ) โดยโซเฟคลีส ถูกนำมาเล่นเป็นละครไตรภาคในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
อีดิปัส (อังกฤษ: Oedipus, สำเนียงบริเตน: /ˈiːdɨpəs/ (อีดิปัส), สำเนียงอเมริกัน: /ˈɛdɨpəs/ (เอดิปัส); กรีก: Οἰδίπους แปลว่า "เท้าบวม") เป็นกษัตริย์เมืองทีบส์ในเทพปกรณัมกรีก เมื่อแรกเกิดได้รับคำทำนายจากเทพพยากรณ์ว่า เมื่อโตขึ้นจะเป็นผู้ฆ่าบิดาและสมรสกับมารดาตัวเอง และนำหายนะมาสู่ครอบครัวและเมืองทีบส์
ตำนานของอีดิปัสได้รับการเล่าขานต่อมา และได้รับการบันทึกเป็นครั้งแรกราวศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล โดยโฮเมอร์ ตำนานที่มีชื่อเสียงคือเรื่อง "Oedipus the King" (กรีก: Οἰδίπους Τύραννος, ละติน: Oedipus Rex, ไทย: อีดิปุส จอมราชันย์) และ "Oedipus at Colonus" (กรีก: Οἰδίπους ἐπὶ Κολωνῷ) โดยโซเฟคลีส ถูกนำมาเล่นเป็นละครไตรภาคในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
มินะทอร์
กำเนิด
วิศวกรเดดาลัสถวายโคจำลองให้นางพาซีฟาอีใช้ร่วมประเวณีกับโคเผือก
เมื่อเสวยราชย์ในเกาะครีตแล้ว พระเจ้าไมนอสต้องทรงแย่งชิงอำนาจการปกครองกับพระเชษฐาและพระอนุชาเนือง ๆ จึงทรงวอนขอให้โพไซดอน (Poseidon) ประทานโคเผือกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเทพยดาสนับสนุนพระองค์ แล้วพระเจ้าไมนอสจะได้ทรงสังหารโคนั้นเซ่นสรวงโพไซดอนต่อไป แต่เมื่อได้ทรงรับโคนั้นมาแล้ว ทรงเห็นแก่ความงดงามผ่าเผยของโค จึงหักพระทัยฆ่าโคไม่ลง และเก็บรักษาโคนั้นไว้ แล้วประหารโคเผือกตัวอื่นสังเวยแทน โพไซดอนเมื่อทราบก็โกรธ สั่งแอโฟรไดที (Aphrodite) กามเทวี บันดาลให้พาซีฟาอี (Pasiphaë) ชายาพระเจ้าไมนอส หลงรักโคเผือกดังกล่าวอย่างรุนแรง
นางพาซีฟาอีมีเสาวนีย์ให้เดดาลัสแกะสลักโคไม้ขึ้นตัวหนึ่ง ภายในเป็นช่องโปร่ง ภายนอกเอาหนังโคคลุมไว้ ตกแต่งดังโคจริง แล้วนางไต่เข้าไปในช่องเพื่อสวมโคไม้นั้น แล้วให้โคเผือกมาสมจรด้วยเรื่อยมาจนตั้งครรภ์ และให้กำเนิดอสุรกายมินะทอร์ นางเลี้ยงดูบุตรเป็นอย่างดี แต่ครั้นมินะทอร์เติบใหญ่ ก็เริ่มสำแดงวิสัยเดรัจฉาน จับข้าราชบริพารกินเป็นเครื่องยังชีพ ขณะที่พระเจ้าไมนอสทรงปริวิตกอยู่นั้น ปุโรหิตเมืองเดลไฟ (Delphi) ทูลแนะนำว่า ให้ขังโคมินะทอร์ไว้ในวงกต จึงมีพระบัญชาให้เดดาลัสสร้างขึ้นไว้ริมพระตำหนักในตำบลนอสซอส (Knossos)
งานเขียนทั่วไปในทางวรรณกรรมและกามวิสัยมุ่งพรรณนาการร่วมประเพณีระหว่างนางพาซีฟาอีและโคเผือกโดยอาศัยโคไม้ มีกวีนิพนธ์เรื่อง เอพิสตูลีเฮโรอิดัม (Epistulae Heroidum) ของโอวิด เพียงเรื่องเดียวที่ระบุไว้เป็นอื่น โดยพรรณนาเหตุการณ์นี้ไว้อย่างสั้น ๆ ในตอนที่ธิดาองค์หนึ่งของนางพาซีฟาอีพร่ำบ่นถึงมารดาที่หลงรักโคเผือกอยู่ฝ่ายเดียวว่า "โคนั้นจำแลงเป็นเทวา พาซีฟาอีมารดาข้าตกอยู่ในบ่วงกามแห่งโคนั้น จึงนำมามาซึ่งเสียงก่นด่าและความหนักใจ"
รูปลักษณ์
มินะทอร์แบบหัวและกายอย่างคนอยู่บนตัวโค ขณะถูกธีเซียสประหาร
ศิลปะสมัยคลาสสิกมักแสดงรูปมินะทอร์เป็นมนุษย์เพศผู้มีศีรษะเป็นโคและมีหางโค ตามที่ซอฟาคลีส (Sophocles) นักละครชาวกรีก ประพันธ์ไว้ในงานเรื่อง ทราคีนีอี (Trachiniae) ว่า ผีเสื้อน้ำแอคีโลอัส (Achelous) เคยกล่าวไว้ในคราวเกี้ยวนางดีอาไนรา (Deianira) ว่า มินะทอร์หัวเป็นโคกายเป็นคน
ตั้งแต่สมัยคลาสสิกจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา การพรรณนาเกี่ยวกับวงกตมักเอามินะทอร์เป็นที่ตั้ง[8] งานเขียนของโอวิดเกี่ยวกับมินะทอร์ แม้มิได้ให้รายละเอียดมากมายว่า กายมินะทอร์ส่วนใดเป็นคนส่วนใดเป็นโค แต่ก็แพร่หลายที่สุดในช่วงมัชฌิมยุค ส่วนงานเขียนในสมัยถัด ๆ มากลับนิยมกันใหม่ว่า มินะทอร์มีหัวและกายดั่งคนอยู่บนตัวโค ทำนองเดียวกับเซนทอร์ (centaur)[9] ความนิยมอย่างหลังนี้ปรากฏมาจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และปัจจุบันยังพบอยู่บ้าง เช่น ในผลงานที่สตีล แซวิจ (Steele Savage) วาดประกอบหนังสือเรื่อง มิโธโลจี (Mythology) ของอีดิธ แฮมิลตัน (Edith Hamilton) เมื่อ ค.ศ. 1942ตาย
ธีเซียสผู้ล้มมินะทอร์ (Theseus victor of the Minotaur) ภาพสีน้ำมันของชาลส์-เอดูอาร์ เชส (Charles-Édouard Chaise) ราว ค.ศ. 1791
หลังจากมินะทอร์ถูกขังไว้ในวงกตแล้ว พระเจ้าไมนอสทรงเกิดหมางพระทัยกับกรุงเอเธนส์ เนื่องจากแอนโดรเจียส (Androgeus) พระโอรส ถูกชาวเอเธนส์ฆ่าตายกลางงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย (Panathenaic Games) เพราะชาวเอเธนส์ไม่ชอบใจที่แอนโดรเจียสชนะ อีกเรื่องว่า พระเจ้าอีเจียส (Aegeus) แห่งกรุงเอเธนส์ทรงบัญชาให้โคเผือกตัวข้างต้นไปสังหารแอนโดรเจียสกลางนครแมราธอน (Marathon) แต่ไม่ว่าด้วยเหตุใด พระเจ้าไมนอสได้เสด็จยกพยุหโยธาไปเอากรุงเอเธนส์เพื่อทรงแก้แค้นในการสูญเสียพระโอรสเป็นผลสำเร็จ และคาทัลลัส (Catullus) บรรยายไว้ในงานเขียนเรื่องกำเนิดมินะทอร์ ว่า กรุงเอเธนส์ "ถูกพิบัติภัยร้ายแรงบังคับให้ใช้ค่าปฏิกรรมในการคร่าชีวิตแอนโดรเจียส" โดยพระเจ้าอีเจียสต้องทรงชำระค่าปฏิกรรมนั้นด้วยการส่ง "ชายหนุ่มและหญิงโสดพร้อมกันไปเป็นภักษาหาร" ของมินะทอร์[10] ในการนี้ พระเจ้าไมนอสทรงกำหนดให้จับสลากเลือกชายเจ็ดคนหญิงเจ็ดคนส่งมาทุก ๆ เจ็ดปีหรือเก้าปี (บางแห่งว่าทุกปี) เพื่อมาให้มินะทอร์บริโภคถึงในวงกต
ในคราวที่จะต้องส่งคนไปเป็นครั้งที่สามนั้น ธีเซียส พระโอรสพระเจ้าอีเจียส อาสาไปฆ่ามินะทอร์ถวาย โดยให้คำมั่นว่า ถ้ากิจสำเร็จจะล่องเรือกลับมาโดยชักใบสีขาว หาไม่แล้วจะใช้ใบเรือสีดำอย่างเดิม ครั้นไปถึงเกาะครีต แอรีแอดนี (Ariadne) กับฟีดรา (Phaedra) ธิดาพระเจ้าไมนอส เกิดปฏิพัทธ์ธีเซียสด้วยกันทั้งคู่ นางแอรีแอดนีซึ่งเป็นคนพี่จึงเสด็จมาแนะวิธีรอดพ้นจากกลไกลวงกตให้แก่ธีเซียส โดยในบางเรื่องว่า นางมอบด้ายให้เขาผูกบานประตูไว้เมื่อเข้าไปในวงกต แล้วสาวด้ายทิ้งไว้ตามทางที่เดินไป เมื่อประหารมินะทอร์โดยใช้กระบี่ของพระเจ้าอีเจียสตัดศีรษะแล้ว เขาจึงหาทางกลับออกมาได้ โดยนำพาชายหญิงคนอื่น ๆ ที่เข้าไปพร้อมกันในคราวนั้นออกมาด้วย เมื่อกลับกรุงเอเธนส์ ธีเซียสทิ้งนางแอรีแอดนีไว้บนเกาะแน็กซอส (Naxos) แล้วเอานางฟีดราเป็นภริยาเพียงหนึ่งเดียว แต่ลืมเปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว ขณะนั้น พระเจ้าอีเจียสประทับอยู่บนแหลมซูเนียน (Sounion) ทอดพระเนตรเห็นใบเรือดำ เข้าพระทัยว่า พระโอรสถูกฆ่าด้วยเงื้อมมืออสุรกายมินะทอร์เสียแล้ว ก็โทมนัสคร่ำครวญ กระโจนจากแหลมนั้นลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างปลิดพระชนม์พระองค์เอง ทะเลนั้นจึงขนานนามว่า อีเจียน[12] เป็นเหตุให้ธีเซียสได้ราชสมบัติต่อมา
กำเนิด
วิศวกรเดดาลัสถวายโคจำลองให้นางพาซีฟาอีใช้ร่วมประเวณีกับโคเผือก
เมื่อเสวยราชย์ในเกาะครีตแล้ว พระเจ้าไมนอสต้องทรงแย่งชิงอำนาจการปกครองกับพระเชษฐาและพระอนุชาเนือง ๆ จึงทรงวอนขอให้โพไซดอน (Poseidon) ประทานโคเผือกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเทพยดาสนับสนุนพระองค์ แล้วพระเจ้าไมนอสจะได้ทรงสังหารโคนั้นเซ่นสรวงโพไซดอนต่อไป แต่เมื่อได้ทรงรับโคนั้นมาแล้ว ทรงเห็นแก่ความงดงามผ่าเผยของโค จึงหักพระทัยฆ่าโคไม่ลง และเก็บรักษาโคนั้นไว้ แล้วประหารโคเผือกตัวอื่นสังเวยแทน โพไซดอนเมื่อทราบก็โกรธ สั่งแอโฟรไดที (Aphrodite) กามเทวี บันดาลให้พาซีฟาอี (Pasiphaë) ชายาพระเจ้าไมนอส หลงรักโคเผือกดังกล่าวอย่างรุนแรง
นางพาซีฟาอีมีเสาวนีย์ให้เดดาลัสแกะสลักโคไม้ขึ้นตัวหนึ่ง ภายในเป็นช่องโปร่ง ภายนอกเอาหนังโคคลุมไว้ ตกแต่งดังโคจริง แล้วนางไต่เข้าไปในช่องเพื่อสวมโคไม้นั้น แล้วให้โคเผือกมาสมจรด้วยเรื่อยมาจนตั้งครรภ์ และให้กำเนิดอสุรกายมินะทอร์ นางเลี้ยงดูบุตรเป็นอย่างดี แต่ครั้นมินะทอร์เติบใหญ่ ก็เริ่มสำแดงวิสัยเดรัจฉาน จับข้าราชบริพารกินเป็นเครื่องยังชีพ ขณะที่พระเจ้าไมนอสทรงปริวิตกอยู่นั้น ปุโรหิตเมืองเดลไฟ (Delphi) ทูลแนะนำว่า ให้ขังโคมินะทอร์ไว้ในวงกต จึงมีพระบัญชาให้เดดาลัสสร้างขึ้นไว้ริมพระตำหนักในตำบลนอสซอส (Knossos)
งานเขียนทั่วไปในทางวรรณกรรมและกามวิสัยมุ่งพรรณนาการร่วมประเพณีระหว่างนางพาซีฟาอีและโคเผือกโดยอาศัยโคไม้ มีกวีนิพนธ์เรื่อง เอพิสตูลีเฮโรอิดัม (Epistulae Heroidum) ของโอวิด เพียงเรื่องเดียวที่ระบุไว้เป็นอื่น โดยพรรณนาเหตุการณ์นี้ไว้อย่างสั้น ๆ ในตอนที่ธิดาองค์หนึ่งของนางพาซีฟาอีพร่ำบ่นถึงมารดาที่หลงรักโคเผือกอยู่ฝ่ายเดียวว่า "โคนั้นจำแลงเป็นเทวา พาซีฟาอีมารดาข้าตกอยู่ในบ่วงกามแห่งโคนั้น จึงนำมามาซึ่งเสียงก่นด่าและความหนักใจ"
รูปลักษณ์
มินะทอร์แบบหัวและกายอย่างคนอยู่บนตัวโค ขณะถูกธีเซียสประหาร
ศิลปะสมัยคลาสสิกมักแสดงรูปมินะทอร์เป็นมนุษย์เพศผู้มีศีรษะเป็นโคและมีหางโค ตามที่ซอฟาคลีส (Sophocles) นักละครชาวกรีก ประพันธ์ไว้ในงานเรื่อง ทราคีนีอี (Trachiniae) ว่า ผีเสื้อน้ำแอคีโลอัส (Achelous) เคยกล่าวไว้ในคราวเกี้ยวนางดีอาไนรา (Deianira) ว่า มินะทอร์หัวเป็นโคกายเป็นคน
ตั้งแต่สมัยคลาสสิกจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา การพรรณนาเกี่ยวกับวงกตมักเอามินะทอร์เป็นที่ตั้ง[8] งานเขียนของโอวิดเกี่ยวกับมินะทอร์ แม้มิได้ให้รายละเอียดมากมายว่า กายมินะทอร์ส่วนใดเป็นคนส่วนใดเป็นโค แต่ก็แพร่หลายที่สุดในช่วงมัชฌิมยุค ส่วนงานเขียนในสมัยถัด ๆ มากลับนิยมกันใหม่ว่า มินะทอร์มีหัวและกายดั่งคนอยู่บนตัวโค ทำนองเดียวกับเซนทอร์ (centaur)[9] ความนิยมอย่างหลังนี้ปรากฏมาจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และปัจจุบันยังพบอยู่บ้าง เช่น ในผลงานที่สตีล แซวิจ (Steele Savage) วาดประกอบหนังสือเรื่อง มิโธโลจี (Mythology) ของอีดิธ แฮมิลตัน (Edith Hamilton) เมื่อ ค.ศ. 1942ตาย
ธีเซียสผู้ล้มมินะทอร์ (Theseus victor of the Minotaur) ภาพสีน้ำมันของชาลส์-เอดูอาร์ เชส (Charles-Édouard Chaise) ราว ค.ศ. 1791
หลังจากมินะทอร์ถูกขังไว้ในวงกตแล้ว พระเจ้าไมนอสทรงเกิดหมางพระทัยกับกรุงเอเธนส์ เนื่องจากแอนโดรเจียส (Androgeus) พระโอรส ถูกชาวเอเธนส์ฆ่าตายกลางงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย (Panathenaic Games) เพราะชาวเอเธนส์ไม่ชอบใจที่แอนโดรเจียสชนะ อีกเรื่องว่า พระเจ้าอีเจียส (Aegeus) แห่งกรุงเอเธนส์ทรงบัญชาให้โคเผือกตัวข้างต้นไปสังหารแอนโดรเจียสกลางนครแมราธอน (Marathon) แต่ไม่ว่าด้วยเหตุใด พระเจ้าไมนอสได้เสด็จยกพยุหโยธาไปเอากรุงเอเธนส์เพื่อทรงแก้แค้นในการสูญเสียพระโอรสเป็นผลสำเร็จ และคาทัลลัส (Catullus) บรรยายไว้ในงานเขียนเรื่องกำเนิดมินะทอร์ ว่า กรุงเอเธนส์ "ถูกพิบัติภัยร้ายแรงบังคับให้ใช้ค่าปฏิกรรมในการคร่าชีวิตแอนโดรเจียส" โดยพระเจ้าอีเจียสต้องทรงชำระค่าปฏิกรรมนั้นด้วยการส่ง "ชายหนุ่มและหญิงโสดพร้อมกันไปเป็นภักษาหาร" ของมินะทอร์[10] ในการนี้ พระเจ้าไมนอสทรงกำหนดให้จับสลากเลือกชายเจ็ดคนหญิงเจ็ดคนส่งมาทุก ๆ เจ็ดปีหรือเก้าปี (บางแห่งว่าทุกปี) เพื่อมาให้มินะทอร์บริโภคถึงในวงกต
ในคราวที่จะต้องส่งคนไปเป็นครั้งที่สามนั้น ธีเซียส พระโอรสพระเจ้าอีเจียส อาสาไปฆ่ามินะทอร์ถวาย โดยให้คำมั่นว่า ถ้ากิจสำเร็จจะล่องเรือกลับมาโดยชักใบสีขาว หาไม่แล้วจะใช้ใบเรือสีดำอย่างเดิม ครั้นไปถึงเกาะครีต แอรีแอดนี (Ariadne) กับฟีดรา (Phaedra) ธิดาพระเจ้าไมนอส เกิดปฏิพัทธ์ธีเซียสด้วยกันทั้งคู่ นางแอรีแอดนีซึ่งเป็นคนพี่จึงเสด็จมาแนะวิธีรอดพ้นจากกลไกลวงกตให้แก่ธีเซียส โดยในบางเรื่องว่า นางมอบด้ายให้เขาผูกบานประตูไว้เมื่อเข้าไปในวงกต แล้วสาวด้ายทิ้งไว้ตามทางที่เดินไป เมื่อประหารมินะทอร์โดยใช้กระบี่ของพระเจ้าอีเจียสตัดศีรษะแล้ว เขาจึงหาทางกลับออกมาได้ โดยนำพาชายหญิงคนอื่น ๆ ที่เข้าไปพร้อมกันในคราวนั้นออกมาด้วย เมื่อกลับกรุงเอเธนส์ ธีเซียสทิ้งนางแอรีแอดนีไว้บนเกาะแน็กซอส (Naxos) แล้วเอานางฟีดราเป็นภริยาเพียงหนึ่งเดียว แต่ลืมเปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว ขณะนั้น พระเจ้าอีเจียสประทับอยู่บนแหลมซูเนียน (Sounion) ทอดพระเนตรเห็นใบเรือดำ เข้าพระทัยว่า พระโอรสถูกฆ่าด้วยเงื้อมมืออสุรกายมินะทอร์เสียแล้ว ก็โทมนัสคร่ำครวญ กระโจนจากแหลมนั้นลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างปลิดพระชนม์พระองค์เอง ทะเลนั้นจึงขนานนามว่า อีเจียน[12] เป็นเหตุให้ธีเซียสได้ราชสมบัติต่อมา
บิลเลโรฟอน
บิลเลโรฟอน (อังกฤษ: Bellerophon, Bellerophontes; กรีก: Βελλεροφῶν, Βελλεροφόντης) เป็นวีรบุรุษในตำนานเทพปกรณัมกรีก มีชื่อเสียงจากการปราบสัตว์ประหลาดโบราณมากมาย เช่นเดียวกับแคดมุส และเพอร์ซิอุส ก่อนยุคของเฮราคลีส ตำนานที่มีชื่อเสียงของบิลเลโรฟอน คือเรื่องเกี่ยวกับการปราบเพกาซัส และไคมีรา
บิลเลโรฟอนเป็นโอรสของกลอคัส พระราชาแห่งเมืองคอรินท์ กับยูริโน มีพระอนุชาคือ ดีลิอาดิส
บิลเลโรฟอน (อังกฤษ: Bellerophon, Bellerophontes; กรีก: Βελλεροφῶν, Βελλεροφόντης) เป็นวีรบุรุษในตำนานเทพปกรณัมกรีก มีชื่อเสียงจากการปราบสัตว์ประหลาดโบราณมากมาย เช่นเดียวกับแคดมุส และเพอร์ซิอุส ก่อนยุคของเฮราคลีส ตำนานที่มีชื่อเสียงของบิลเลโรฟอน คือเรื่องเกี่ยวกับการปราบเพกาซัส และไคมีรา
บิลเลโรฟอนเป็นโอรสของกลอคัส พระราชาแห่งเมืองคอรินท์ กับยูริโน มีพระอนุชาคือ ดีลิอาดิส