เทพไททัน
โครนัส
(อังกฤษ: Cronus หรือ Kronus, /kroʊnəs/; ภาษากรีกโบราณ: Κρόνος, Krónos) เป็นผู้นำเหล่ายักษ์ไททัน (Titan) รุ่นแรกที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นทายาทของเทพีไกอา (Gaia) พระแม่ธรณี และเทพบิดายูเรนัส (Uranus) เทพแห่งท้องฟ้า เทพโครนัสได้โค่นบัลลังก์ของพระบิดา (เทพยูเรนัส) และขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงยุคทอง จนกระทั่งถูกโค่นบัลลังก์โดยพระโอรสของตน คือ เทพซูส (Zeus) เทพโครนัสมิได้ถูกจองจำในยมโลกทาร์ทารัส (Tartarus) เหมือนเช่นไททันตนอื่น ๆ แต่เขากลับหลบหนีไป
ด้วยเหตุที่ว่าเทพโครนัสมีความเกี่ยวเนื่องกับยุคทอง เขาจึงได้รับการสักการะในฐานะเทพแห่งฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งรวมไปถึงการเก็บเกี่ยวพืชผลเช่น ข้าว ธรรมชาติ ผลผลิตทางการเกษตร และการเดินไปข้างหน้าของกาลเวลาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ภาพของเทพโครนัสมักถือเคียวไว้ในมือ ซึ่งพระองค์ใช้ในการเก็บเกี่ยวพืชผล และเป็นอาวุธที่พระองค์ใช้โค่นบัลลังก์เทพยูเรนัส ในกรุงเอเธนส์ (Athens) วันที่ 12 ของทุกๆ เดือน ถูกเรียกว่าวันฮีคาทอมบาเอียน (Hekatombaion) ซึ่งจะมีงานเทศกาลชื่อว่า เทศกาลโครเนีย (Kronia) จะจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพโครนัสสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว พระนามของเทพโครนัสในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพแซเทิร์น (Saturn)
(อังกฤษ: Cronus หรือ Kronus, /kroʊnəs/; ภาษากรีกโบราณ: Κρόνος, Krónos) เป็นผู้นำเหล่ายักษ์ไททัน (Titan) รุ่นแรกที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นทายาทของเทพีไกอา (Gaia) พระแม่ธรณี และเทพบิดายูเรนัส (Uranus) เทพแห่งท้องฟ้า เทพโครนัสได้โค่นบัลลังก์ของพระบิดา (เทพยูเรนัส) และขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงยุคทอง จนกระทั่งถูกโค่นบัลลังก์โดยพระโอรสของตน คือ เทพซูส (Zeus) เทพโครนัสมิได้ถูกจองจำในยมโลกทาร์ทารัส (Tartarus) เหมือนเช่นไททันตนอื่น ๆ แต่เขากลับหลบหนีไป
ด้วยเหตุที่ว่าเทพโครนัสมีความเกี่ยวเนื่องกับยุคทอง เขาจึงได้รับการสักการะในฐานะเทพแห่งฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งรวมไปถึงการเก็บเกี่ยวพืชผลเช่น ข้าว ธรรมชาติ ผลผลิตทางการเกษตร และการเดินไปข้างหน้าของกาลเวลาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ภาพของเทพโครนัสมักถือเคียวไว้ในมือ ซึ่งพระองค์ใช้ในการเก็บเกี่ยวพืชผล และเป็นอาวุธที่พระองค์ใช้โค่นบัลลังก์เทพยูเรนัส ในกรุงเอเธนส์ (Athens) วันที่ 12 ของทุกๆ เดือน ถูกเรียกว่าวันฮีคาทอมบาเอียน (Hekatombaion) ซึ่งจะมีงานเทศกาลชื่อว่า เทศกาลโครเนีย (Kronia) จะจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพโครนัสสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว พระนามของเทพโครนัสในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพแซเทิร์น (Saturn)
โอเซียเนิส
โอเซียเนิส (อังกฤษ: Oceanus, /oʊˈsiənəs/; กรีก: Ωκεανός , Okeanos) เป็นระบบที่เชื่อมต่อกันของแหล่งน้ำ เขตน่านน้ำ และมหาสมุทรของโลก (world-ocean) ในยุคสมัยคลาสสิกโบราณซึ่งชาวโรมันและชาวกรีกโบราณคิดว่ามันคือแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบโลกอยู่ ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก มีไททันตนหนึ่งถูกใช้เป็นบุคลาธิษฐานแทนแหล่งน้ำนี้ ซึ่งไททันตนนี้เป็นพระโอรสของไททันยูเรนัส (Uranus) และเทพีไกอา (Gaia) ผลงานศิลปแบบโมเสคของเฮเลนนิสต์และโรมันมักออกแบบไททันตนนี้ให้มีช่วงบนของร่างเป็นชายร่างบึกบึน มีหนวดเครายาวรุงรัง และเขา ส่วนช่วงล่างจะเป็นร่างของงูเซอร์เพนท์ (serpent) ในภาพวาดบนชิ้นส่วนจากเครื่องปั้นในช่วงประมาณ 580 ปีก่อนคริสตกาล ในกลุ่มเทพที่เข้าร่วมงานวิวาห์ของกษัตริย์เพเลอุซ (Peleus) และนิมฟ์ทะเลเธทิส (Thetis) ไททันโอเซียเนิสมีหางเป็นปลา ในมือขวาถือ "terd" และมือซ้ายถืองูเซอร์เพนท์ ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นของขวัญแห่งความมั่งคั่งและคำทำนาย ในผลงานโมเสคโรมัน ก็มีภาพไททันโอเซียเนิสถือไม้พายและอุ้มเรือด้วยเช่นกัน
โอเซียเนิส (อังกฤษ: Oceanus, /oʊˈsiənəs/; กรีก: Ωκεανός , Okeanos) เป็นระบบที่เชื่อมต่อกันของแหล่งน้ำ เขตน่านน้ำ และมหาสมุทรของโลก (world-ocean) ในยุคสมัยคลาสสิกโบราณซึ่งชาวโรมันและชาวกรีกโบราณคิดว่ามันคือแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบโลกอยู่ ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก มีไททันตนหนึ่งถูกใช้เป็นบุคลาธิษฐานแทนแหล่งน้ำนี้ ซึ่งไททันตนนี้เป็นพระโอรสของไททันยูเรนัส (Uranus) และเทพีไกอา (Gaia) ผลงานศิลปแบบโมเสคของเฮเลนนิสต์และโรมันมักออกแบบไททันตนนี้ให้มีช่วงบนของร่างเป็นชายร่างบึกบึน มีหนวดเครายาวรุงรัง และเขา ส่วนช่วงล่างจะเป็นร่างของงูเซอร์เพนท์ (serpent) ในภาพวาดบนชิ้นส่วนจากเครื่องปั้นในช่วงประมาณ 580 ปีก่อนคริสตกาล ในกลุ่มเทพที่เข้าร่วมงานวิวาห์ของกษัตริย์เพเลอุซ (Peleus) และนิมฟ์ทะเลเธทิส (Thetis) ไททันโอเซียเนิสมีหางเป็นปลา ในมือขวาถือ "terd" และมือซ้ายถืองูเซอร์เพนท์ ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นของขวัญแห่งความมั่งคั่งและคำทำนาย ในผลงานโมเสคโรมัน ก็มีภาพไททันโอเซียเนิสถือไม้พายและอุ้มเรือด้วยเช่นกัน
เรีย
เรีย (อังกฤษ: Rhea, เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /rɪə, ˈriːə/) เป็นเทพีไททัน ซึ่งเป็นธิดาของเทพยูเรนัสกับเทพีไกอา พระนางแต่งงานกับโครนัส เทพไททันผู้เป็นพี่ชาย และได้รับการขนานนามว่า "เทพมารดา" รูปเคารพของเทพีเรียมักอยู่คู่กับสิงโตอยู่เสมอ พระนางเป็นมารดาของเทพโอลิมเปียทั้ง 6 องค์จาก 12 องค์
การกำเนิดของเรีย
ตามตำนานกรีกกล่าวว่าเรียเป็นธิดาของเทพีไกอาและเทพยูเรนัส เป็นหนึ่งในเหล่าเทพไททันที่ถูกเทพยูเรนัสผู้เป็นบิดาโยนลงไปในทาทารัสพร้อมกับเหล่าอสุรกาย และได้กลับขึ้นมาบนพื้นพิภพอีกครั้งเมื่อโครนัส ไททันองค์สุดท้องอาสาปราบยูเรนัสและยึดอำนาจของยูเรนัสมาเป็นของเหล่าไททันส่วนในตำนานของชาวเพลาสกันได้กล่าวว่ายูริโนมี เทพีองค์แรกได้ถือกำเนิดขึ้นและสร้างเหล่าไททันขึ้น เรียเป็นหนึ่งในไททัน มีหน้าที่ดูแลดาวเสาร์ร่วมกับโครนัสผู้เป็นสามีเรียและโครนัสภายหลังจากการกอบกู้เหล่าไททันของโครนอส โครนัสก็ได้แต่งตั้งให้เรียเป็นชายา และเป็นราชินีของเทพทั้งปวง แต่เนื่องจากหลังจากโครนัสได้กำจัดยูเรนัสลงแล้ว ไม่ได้ช่วยเหลือเหล่าอสุรกายผู้เป็นบุตรของไกอาดังที่สัญญากับไกอาไว้ ไกอาจึงสาปให้บุตรของโครนอสที่เกิดจากเรียช่วงชิงบัลลังก์ของโครนอส เช่นเดียวกับที่
โครนอสได้ช่วงชิงบัลลังก์จากยูเรนัส บุตรของเรียเนื่องจากคำสาปของไกอา โครนอสจึงหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาและเมื่อเรียคลอดบุตรออกมา โครนอสก็กลืนเทพที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นลงไปทั้งตัว เรียได้แต่เคียดแค้น จนเมื่อบุตรองค์สุดท้องของเรียถือกำเนิดขึ้น นางก็ได้นำเทพองค์นั้น หรือซุส ไปซ่อนไว้ที่ภูเขาไอดา โดยฝากให้ไกอาเป็นผู้ดูแล และฝึกฝนซุสให้กลับไปแก้แค้นโครนัสผู้เป็นบิดา และช่วยเหลือเหล่าเทพโอลิมปัสบุตรของนางออกมาจากท้องของโครนอส
เรีย (อังกฤษ: Rhea, เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /rɪə, ˈriːə/) เป็นเทพีไททัน ซึ่งเป็นธิดาของเทพยูเรนัสกับเทพีไกอา พระนางแต่งงานกับโครนัส เทพไททันผู้เป็นพี่ชาย และได้รับการขนานนามว่า "เทพมารดา" รูปเคารพของเทพีเรียมักอยู่คู่กับสิงโตอยู่เสมอ พระนางเป็นมารดาของเทพโอลิมเปียทั้ง 6 องค์จาก 12 องค์
การกำเนิดของเรีย
ตามตำนานกรีกกล่าวว่าเรียเป็นธิดาของเทพีไกอาและเทพยูเรนัส เป็นหนึ่งในเหล่าเทพไททันที่ถูกเทพยูเรนัสผู้เป็นบิดาโยนลงไปในทาทารัสพร้อมกับเหล่าอสุรกาย และได้กลับขึ้นมาบนพื้นพิภพอีกครั้งเมื่อโครนัส ไททันองค์สุดท้องอาสาปราบยูเรนัสและยึดอำนาจของยูเรนัสมาเป็นของเหล่าไททันส่วนในตำนานของชาวเพลาสกันได้กล่าวว่ายูริโนมี เทพีองค์แรกได้ถือกำเนิดขึ้นและสร้างเหล่าไททันขึ้น เรียเป็นหนึ่งในไททัน มีหน้าที่ดูแลดาวเสาร์ร่วมกับโครนัสผู้เป็นสามีเรียและโครนัสภายหลังจากการกอบกู้เหล่าไททันของโครนอส โครนัสก็ได้แต่งตั้งให้เรียเป็นชายา และเป็นราชินีของเทพทั้งปวง แต่เนื่องจากหลังจากโครนัสได้กำจัดยูเรนัสลงแล้ว ไม่ได้ช่วยเหลือเหล่าอสุรกายผู้เป็นบุตรของไกอาดังที่สัญญากับไกอาไว้ ไกอาจึงสาปให้บุตรของโครนอสที่เกิดจากเรียช่วงชิงบัลลังก์ของโครนอส เช่นเดียวกับที่
โครนอสได้ช่วงชิงบัลลังก์จากยูเรนัส บุตรของเรียเนื่องจากคำสาปของไกอา โครนอสจึงหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาและเมื่อเรียคลอดบุตรออกมา โครนอสก็กลืนเทพที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นลงไปทั้งตัว เรียได้แต่เคียดแค้น จนเมื่อบุตรองค์สุดท้องของเรียถือกำเนิดขึ้น นางก็ได้นำเทพองค์นั้น หรือซุส ไปซ่อนไว้ที่ภูเขาไอดา โดยฝากให้ไกอาเป็นผู้ดูแล และฝึกฝนซุสให้กลับไปแก้แค้นโครนัสผู้เป็นบิดา และช่วยเหลือเหล่าเทพโอลิมปัสบุตรของนางออกมาจากท้องของโครนอส
ทีมิส
ทีมิส (อังกฤษ: Themis) เป็นเทพีในกลุ่มไททันตามเทพปกรณัมกรีกซึ่งได้รับการพรรณนาว่าสามารถ "ให้คำปรึกษาที่ดี" และเป็นบุคคลาธิษฐานของความสงบเรียบร้อย กฎหมาย และจารีตประเพณี คำว่า "Themis" แปลว่า "กฎสวรรค์" (divine law) ตรงกันข้ามกับกฎที่มนุษย์สร้างขึ้น และมีความหมายตามตัวว่า "อันซึ่งประดิษฐานไว้" (that which is put in place) มาจากคำกิริยา "τίθημι" แปลว่า "วาง" หรือ "ตั้ง" (to put)
ตามความเชื่อของกรีก ทีมิสเป็นผู้จัดระบบ "กิจการสังคมของมนุษย์โดยเฉพาะการมาชุมนุมกัน" ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาคลาสสิกโมเสส ไอ. ฟินลีย์ (Moses I. Finley) ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคำว่า "Themis" ซึ่งเป็นคำที่ใช้โดยโฮเมอร์ในศตวรรษที่ 8 ว่าเป็นคำที่ทำให้เกิดความมีระเบียบของสังคมในยุคมืดกรีก (Greek Dark Ages) ในศตวรรษที่ 10 และ 9 ก่อนคริสต์ศักราช:
"ทีมิส" เป็นคำที่แปลไม่ได้ [ทีมิส]คือสิ่งที่ได้รับการประทานจากพระเจ้าและเป็นสัญลักษณ์ของความมีวัฒนธรรม บางครั้งหมายถึงวัฒนธรรมอันถูกต้อง, กระบวนการอันเหมาะสม, ความมีระบบของสังคม และบางครั้งก็เพียงพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น (เช่นที่เห็นได้จากนิมิตร้าย (omen) เป็นต้น) ที่แทบจะไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้อง ฟินลีย์กล่าวต่อไปว่า "ทีมิส" ปรากฏในประเพณี ธรรมเนียมพื้นบ้าน หรือ "mores" ที่ไม่ว่าจะใช้คำใดก็ตามต่างก็หมายถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่กระทำหรือไม่กระทำ โลกของโอดีสซุซเป็นโลกที่มีความเชื่อที่วิวัฒนาการมาแล้วอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งใดที่เหมาะและที่ควร"
ทีมิส (อังกฤษ: Themis) เป็นเทพีในกลุ่มไททันตามเทพปกรณัมกรีกซึ่งได้รับการพรรณนาว่าสามารถ "ให้คำปรึกษาที่ดี" และเป็นบุคคลาธิษฐานของความสงบเรียบร้อย กฎหมาย และจารีตประเพณี คำว่า "Themis" แปลว่า "กฎสวรรค์" (divine law) ตรงกันข้ามกับกฎที่มนุษย์สร้างขึ้น และมีความหมายตามตัวว่า "อันซึ่งประดิษฐานไว้" (that which is put in place) มาจากคำกิริยา "τίθημι" แปลว่า "วาง" หรือ "ตั้ง" (to put)
ตามความเชื่อของกรีก ทีมิสเป็นผู้จัดระบบ "กิจการสังคมของมนุษย์โดยเฉพาะการมาชุมนุมกัน" ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาคลาสสิกโมเสส ไอ. ฟินลีย์ (Moses I. Finley) ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคำว่า "Themis" ซึ่งเป็นคำที่ใช้โดยโฮเมอร์ในศตวรรษที่ 8 ว่าเป็นคำที่ทำให้เกิดความมีระเบียบของสังคมในยุคมืดกรีก (Greek Dark Ages) ในศตวรรษที่ 10 และ 9 ก่อนคริสต์ศักราช:
"ทีมิส" เป็นคำที่แปลไม่ได้ [ทีมิส]คือสิ่งที่ได้รับการประทานจากพระเจ้าและเป็นสัญลักษณ์ของความมีวัฒนธรรม บางครั้งหมายถึงวัฒนธรรมอันถูกต้อง, กระบวนการอันเหมาะสม, ความมีระบบของสังคม และบางครั้งก็เพียงพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น (เช่นที่เห็นได้จากนิมิตร้าย (omen) เป็นต้น) ที่แทบจะไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้อง ฟินลีย์กล่าวต่อไปว่า "ทีมิส" ปรากฏในประเพณี ธรรมเนียมพื้นบ้าน หรือ "mores" ที่ไม่ว่าจะใช้คำใดก็ตามต่างก็หมายถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่กระทำหรือไม่กระทำ โลกของโอดีสซุซเป็นโลกที่มีความเชื่อที่วิวัฒนาการมาแล้วอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งใดที่เหมาะและที่ควร"
แอตลัส
แอตลัส (อังกฤษ: Atlas, เสียงอ่าน: /ˈætləs/) เป็นหนึ่งในเหล่าไททันที่ก่อกบฏในสงครามไททัน หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อเหล่าเทพโอลิมเปียแล้ว แอตลัสก็ถูกลงโทษให้เป็นผู้แบกท้องฟ้า (บางตำนานว่าเป็นโลก) ไว้บนบ่า แอตลัสเป็นผู้ช่วยให้เฮอร์คิวลีสสามารถทำภารกิจสำเร็จหนึ่งภารกิจ นั่นคือการไปนำแอปเปิลทองคำของเฮสเพริดีสมาให้กษัตริย์ เพราะแอตลัสเป็นบิดาของพวกเฮสเพริดีส และเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถไปนำแอปเปิลทองคำเหล่านั้นมาได้เฮอร์คิวลีสได้อาสาแบกท้องฟ้า (โลก) ไว้จนกว่าแอตลัสจะนำแอปเปิลมาได้
แอตลัส (อังกฤษ: Atlas, เสียงอ่าน: /ˈætləs/) เป็นหนึ่งในเหล่าไททันที่ก่อกบฏในสงครามไททัน หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อเหล่าเทพโอลิมเปียแล้ว แอตลัสก็ถูกลงโทษให้เป็นผู้แบกท้องฟ้า (บางตำนานว่าเป็นโลก) ไว้บนบ่า แอตลัสเป็นผู้ช่วยให้เฮอร์คิวลีสสามารถทำภารกิจสำเร็จหนึ่งภารกิจ นั่นคือการไปนำแอปเปิลทองคำของเฮสเพริดีสมาให้กษัตริย์ เพราะแอตลัสเป็นบิดาของพวกเฮสเพริดีส และเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถไปนำแอปเปิลทองคำเหล่านั้นมาได้เฮอร์คิวลีสได้อาสาแบกท้องฟ้า (โลก) ไว้จนกว่าแอตลัสจะนำแอปเปิลมาได้
ไฮพีเรียน
ไฮพีเรียน (อังกฤษ: Hyperion) เป็นยักษ์ไททัน เป็นเจ้าแห่งแสงและหนึ่งในยักษ์ไททันผู้ควบคุมสี่มุมโลก ซึ่งไฮพีเรียนนั้นควบคุมทิศตะวันออก ไฮพีเรียนยังเป็นบิดาของฮีลีออส เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์องค์แรกก่อนจะยกหน้าที่นี้ให้แก่อะพอลโล
ไฮพีเรียน (อังกฤษ: Hyperion) เป็นยักษ์ไททัน เป็นเจ้าแห่งแสงและหนึ่งในยักษ์ไททันผู้ควบคุมสี่มุมโลก ซึ่งไฮพีเรียนนั้นควบคุมทิศตะวันออก ไฮพีเรียนยังเป็นบิดาของฮีลีออส เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์องค์แรกก่อนจะยกหน้าที่นี้ให้แก่อะพอลโล
โพรมีเทียส
โพรมีเทียส หรือ โพรมีทีอูส (อังกฤษ: Prometheus, กรีก: Προμηθεύς แปลว่า มองการณ์ไกล) เป็นเทพไททันองค์หนึ่งที่มีความเฉลียวฉลาด เป็นผู้ขโมยไฟจากเฮสเทีย เทพีแห่งเตาไฟ ลงไปให้มนุษย์ จึงทำให้มนุษย์รู้จักใช้ไฟในการหุงหาอาหารและใช้เพื่อแสงสว่างจนสามารถสร้างอารยธรรมต่างๆ ได้ จึงทำให้ซูสโกรธและลงโทษโพรมีเทียสด้วยการขังไว้ในถ้ำบนคอคาซัส และมีอีกายักษ์มาจิกกินตับของโพรมีเทียสทุกวันโดยที่ไม่ตาย และทุกคืนตับของโพรมีเทียสจะงอกใหม่เพื่อให้อีกายักษ์จิกกินในวันรุ่งขึ้น
แต่สำหรับมนุษย์แล้ว โพรมีเทียสถือว่าเป็นเทพที่กล้าหาญและเป็นเพื่อนที่ดีต่อมนุษย์ จึงได้รับการยกย่องและนับถือ
โพรมีเทียส หรือ โพรมีทีอูส (อังกฤษ: Prometheus, กรีก: Προμηθεύς แปลว่า มองการณ์ไกล) เป็นเทพไททันองค์หนึ่งที่มีความเฉลียวฉลาด เป็นผู้ขโมยไฟจากเฮสเทีย เทพีแห่งเตาไฟ ลงไปให้มนุษย์ จึงทำให้มนุษย์รู้จักใช้ไฟในการหุงหาอาหารและใช้เพื่อแสงสว่างจนสามารถสร้างอารยธรรมต่างๆ ได้ จึงทำให้ซูสโกรธและลงโทษโพรมีเทียสด้วยการขังไว้ในถ้ำบนคอคาซัส และมีอีกายักษ์มาจิกกินตับของโพรมีเทียสทุกวันโดยที่ไม่ตาย และทุกคืนตับของโพรมีเทียสจะงอกใหม่เพื่อให้อีกายักษ์จิกกินในวันรุ่งขึ้น
แต่สำหรับมนุษย์แล้ว โพรมีเทียสถือว่าเป็นเทพที่กล้าหาญและเป็นเพื่อนที่ดีต่อมนุษย์ จึงได้รับการยกย่องและนับถือ
เอพิมีเทียส
เอพิมีเทียส (อังกฤษ: Epimetheus, เสียงอ่าน: /ˌɛpɨˈmiːθiəs/; กรีก: Ἐπιμηθεύς) เป็นไททันซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดของโพรมีเทียสและเป็นสามีของแพนโดรา (สตรีนางแรก) เขาและโพรมีเทียสพี่ชายเป็นเสมือนตัวแทนของมนุษย์ และมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกัน
โพรมีเทียสเป็นผู้มีปัญญาและมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในขณะที่เอพิมีเทียส (ที่แปลว่า การทำก่อนคิด) นั้นเบาปัญญาและมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ครั้งที่มหาเทพซูสมีพระประสงค์จะให้มีสิ่งมีชีวิตบนโลก เอพิมีเทียสขอรับมอบหมายให้เป็นผู้ประสาทพรแก่สรรพสัตว์ ให้นกบินได้ แมวล่าหนู สิงโตเป็นเจ้าป่า ฯลฯ ด้วยนิสัยที่ชอบทำก่อนคิด ตนเกิดให้พรจนหมด พอโพรมีเทียสสร้างมนุษย์ปรากฏว่าไม่มีพรเหลืออยู่แล้ว โพรมีเทียสจึงให้พรด้วยตนเอง (บางตำราก็ว่าอะทีนาเป็นผู้ประสาทพรให้)
หลังจากที่โพรมีเทียสได้ขโมยไฟไปให้มวลมนุษย์ ซูสได้วางแผนที่จะแก้แค้นเขาด้วยการสร้างสตรีนางแรกขึ้นเพื่อแก้แค้นพวกมนุษย์ซึ่งในขณะนั้นมีแต่ผู้ชาย เหล่าเทพเจ้าทุกพระองค์ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้นาง และนางเป็นผู้มีรูปโฉมสะคราญตาจนไม่มีใครปฏิเสธได้ นางได้รับการขนานนามว่า แพนโดรา หรือที่แปลว่า ของขวัญทั้งมวล ซูสได้มอบนางให้เป็นของขวัญแก่โพรมีเทียสแต่เขาปฏิเสธเพราะรู้ว่าสตรีจะนำความวิบัติมาให้ แต่เอพะมีธีเอิสผู้เบาปัญญารับนางเป็นภรรยา และก่อให้เกิดความพินาศในหมู่มนุษย์ในเวลาต่อมา
ซูสมอบไหปิดผนึกใบหนึ่งให้กับแพนโดรา โดยที่นางไม่ทราบเลยว่าไหใบนั้นบรรจุความชั่วร้ายทั้งปวงไว้ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แพนโดราเปิดไหออกและปลดปล่อยความชั่วร้ายออกมาในโลกด้วยความตกใจแพนโดราจึงรีบปิดไหและกักขัง เอลพิส จิตวิญาณแห่งความหวังเอาไว้
เอพิมีเทียส (อังกฤษ: Epimetheus, เสียงอ่าน: /ˌɛpɨˈmiːθiəs/; กรีก: Ἐπιμηθεύς) เป็นไททันซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดของโพรมีเทียสและเป็นสามีของแพนโดรา (สตรีนางแรก) เขาและโพรมีเทียสพี่ชายเป็นเสมือนตัวแทนของมนุษย์ และมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกัน
โพรมีเทียสเป็นผู้มีปัญญาและมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในขณะที่เอพิมีเทียส (ที่แปลว่า การทำก่อนคิด) นั้นเบาปัญญาและมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ครั้งที่มหาเทพซูสมีพระประสงค์จะให้มีสิ่งมีชีวิตบนโลก เอพิมีเทียสขอรับมอบหมายให้เป็นผู้ประสาทพรแก่สรรพสัตว์ ให้นกบินได้ แมวล่าหนู สิงโตเป็นเจ้าป่า ฯลฯ ด้วยนิสัยที่ชอบทำก่อนคิด ตนเกิดให้พรจนหมด พอโพรมีเทียสสร้างมนุษย์ปรากฏว่าไม่มีพรเหลืออยู่แล้ว โพรมีเทียสจึงให้พรด้วยตนเอง (บางตำราก็ว่าอะทีนาเป็นผู้ประสาทพรให้)
หลังจากที่โพรมีเทียสได้ขโมยไฟไปให้มวลมนุษย์ ซูสได้วางแผนที่จะแก้แค้นเขาด้วยการสร้างสตรีนางแรกขึ้นเพื่อแก้แค้นพวกมนุษย์ซึ่งในขณะนั้นมีแต่ผู้ชาย เหล่าเทพเจ้าทุกพระองค์ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้นาง และนางเป็นผู้มีรูปโฉมสะคราญตาจนไม่มีใครปฏิเสธได้ นางได้รับการขนานนามว่า แพนโดรา หรือที่แปลว่า ของขวัญทั้งมวล ซูสได้มอบนางให้เป็นของขวัญแก่โพรมีเทียสแต่เขาปฏิเสธเพราะรู้ว่าสตรีจะนำความวิบัติมาให้ แต่เอพะมีธีเอิสผู้เบาปัญญารับนางเป็นภรรยา และก่อให้เกิดความพินาศในหมู่มนุษย์ในเวลาต่อมา
ซูสมอบไหปิดผนึกใบหนึ่งให้กับแพนโดรา โดยที่นางไม่ทราบเลยว่าไหใบนั้นบรรจุความชั่วร้ายทั้งปวงไว้ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แพนโดราเปิดไหออกและปลดปล่อยความชั่วร้ายออกมาในโลกด้วยความตกใจแพนโดราจึงรีบปิดไหและกักขัง เอลพิส จิตวิญาณแห่งความหวังเอาไว้